วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2559

  โลกยุคใหม่หมุนไกลเกินตามทัน จนพ่อแม่ยุคนี้ต้องยอมรับว่า เราไม่อาจเลี้ยงลูกในแบบเดียว กับที่เคยถูกพ่อแม่เลี้ยงมาในอดีต ได้อีกต่อไป เพราะคนในแต่ละยุคล้วนมีบุคลิกภาพ แตกต่างตามสมัย ด้วยอิทธิพลจากสิ่งรอบตัวส่งผลต่อความคิดและทัศนคติการใช้ชีวิต เราได้ยินศัพท์ใหม่ๆ ที่เรียกคนแต่ละยุคว่า Gen X บ้าง Gen Y บ้าง เพื่อให้สามารถ เรียนรู้และเข้าใจบุคคลในวัยต่างๆ ได้ดีขึ้น พ่อแม่ที่มีลูกในแต่ละเจเนอเรชั่น โดยเฉพาะเด็กเจเนอเรชั่น อัลฟ่า ที่เกิดและเติบโตมาในโลกยุคไร้พรมแดน ก่อนอื่น มาทำความเข้าใจในแต่ละเจเนอเรชั่น ดังนี้ค่ะ
เริ่มจาก เบบี้บูมเมอร์ ตามมาด้วยเจเนอร์เรชั่น เอ็กซ์ หรือเจนเอ็กซ์ เจนวาย และเจนซี ส่วนเด็กๆ ที่กำลังเกิดขึ้นมายุคปัจจุบันตั้งแต่ปี 2010 ขึ้นไป เรียกว่าเจน อัลฟ่า ซึ่งแต่ละช่วงอายุคน มีความแตกต่างทางสภาพสังคมอย่างมาก
Baby Bommers เบบี้บูมเมอร์ 
1946-1964
คือกลุ่มคนที่เกิดระหว่าง ปีพ.ศ. 2489-2507 ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา อายุประมาณ 40-60 ปี เป็นคนมีแบบแผน เคารพกฎเกณฑ์ กติกา มีความมุ่งมั่น ทุ่มเท ทำงานหนักเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว มีความอดทนแม้ความสำเร็จจะใช้เวลานาน มีความจงรักภักดีต่อองค์กร และมักอยู่องค์กรเดิมนานๆ ไม่เปลี่ยนงานบ่อย เป็นยุคที่คนใช้แรงกาย แรงสมองในการทำงานบุกเบิก
Generation X เจเนอเรชั่นเอ็กซ์ 
1965-1976
เป็นกลุ่มที่เกิดระหว่าง ปีพ.ศ. 2508-2519 มีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น Baby Buster, Slacker เป็นกลุ่มที่มีอายุประมาณ 30-40 ปี วัยทำงาน ไม่ต้องต่อสู้ดิ้นรนเท่ารุ่นก่อน ไม่ชอบการผูกมัด เปลี่ยนอาชีพบ่อย เลือกที่จะอยู่เฉยๆ มากกว่า ไม่ต้องการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง มักต้องใช้ชีวิตตามเส้นทางที่รุ่นพ่อวางไว้ให้
Generation Y เจเนอเรชั่นวาย
1977-1994
เกิดระหว่าง พ.ศ. 2520-2537อายุช่วง 20 ปลายๆ ถึง 30 ปลาย เป็นกลุ่มที่โตมาพร้อมๆ กับ เทคโนโลยี จึงรับข้อมูลข่าวสารจากหลายๆ ด้าน กล้าแสดงออก และมีความเป็นตัวของตัวเองสูง มีความเชื่อว่าจะสำเร็จได้ต้องทำงานหนัก หากต้องเลือกจะเลือกงาน ทำให้แต่งงานช้า รักอิสระ ไม่ชอบอยู่ในกรอบและไม่ชอบการวางเงื่อนไข มีความเชื่อในศักยภาพตนเอง ติดหนี้ติดสินได้ง่าย นิยมเครดิต ชอบความสะดวกสบายทุกอย่าง
Generation Z เจเนอเรชั่นซีเกิดประมาณ
พ.ศ. 2538-2552 1995-2009
เกิดและโตมาในยุคเทคโนโลยีและโซเซียลเน็ตเวิร์ค จึงเปิดรับข้อมูลหลากหลายผ่านสื่อดิจิตอล มีทางเลือกเยอะ มีแนวทางอิสระเป็นของตัวเองชัดเจน เริ่มเรียนเร็วขึ้นและนานขึ้นกว่ารุ่นอื่นๆ ด้วยความสนใจเรื่องรอบตัวในหลากมิติ ทั้งเรื่องศิลปะ ปัญหาสิ่งแวดล้อม และสังคม จึงทำอะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกันและโลกแข่งขันทุกอย่าง
Generation Alpha เจเนอเรชั่นอัลฟ่า
2010
เกิดตั้งแต่ พ.ศ.2553 เป็นต้นไปเป็นรุ่นลูกของ Gen Y และ Z วัยนี้กำลังเป็นเด็กอนุบาลที่เกิดจากพ่อแม่ที่มีอายุมาก มีลูกน้อย มีเงินทองที่ไม่ต้องดิ้นรนมากเท่ารุ่นอื่น จับอุปกรณ์ดิจิตอล สัมผัสเทคโนโลยีตั้งแต่เกิด เรียนกันมาก นานและหลากหลาย อยู่กับสังคมทุนนิยม มีแนวโน้มเป็นคนวัตถุนิยม คุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลง เบื่อง่ายและความอดทนต่ำ นิยมความรวดเร็วทันใจ จึงมองหาสูตรความสำเร็จที่จะทำให้ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย
ดังนั้นเด็กยุคปัจุบันนี้ไม่ใช่เป็นรุ่นเจเนอเรชั่น Z แล้ว แต่เป็นเจเนอเรชั่นรุ่นอัลฟ่า ที่มีการใช้เทคโนโลยีมากขึ้น การปฏิสัมพันธ์กับบ้าน โรงเรียน วัด น้อยลง ซึ่งถ้าคนเราไม่มีความรักความผูกพันแล้ว ความเอื้ออาทรก็จะไม่มี ถ้าปล่อยให้สังคมเป็นสภาพแบบนี้ก็จะเกิดปัญหา
รศ. นพ.สุริยเดว ทรีปาตี จากสถาบันแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบาย เพิ่มเติมในเจเนอเรชั่นอัลฟ่าว่า
“เขารู้จักแต่สังคมที่มีเทคโนโลยี เกิดมาก็มีแต่การแข่งขันกัน จนมีคนนิยามให้เด็กยุคนี้ว่า The Ipad Generation และเราปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกเรากำลังเปลี่ยนไปในแนวของดิจิตอลเวิลด์ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่เปิดรับสื่อ เรามีตัวอย่างที่บางบ้าน พ่อแม่ตั้งกฎไว้ว่า ถ้าลูกอายุน้อยกว่า 18 ปี ไม่ให้ดูทีวี แล้วเอาโทรศัพท์ที่ใช้ข้างนอก พอก้าวเข้าบ้านปุ๊บ เอาโทรศัพท์มากองไว้ที่ศูนย์กลาง แต่ก็ไม่ได้เป็นกลไกในการป้องกันเลย สุดท้ายก็ตกเป็นเครื่องมือ มีปัญหาเพราะรู้ไม่เท่าทัน อ่อนต่อโลกไป”
สังคมเปลี่ยน การเลี้ยงลูกจึงต้องเปลี่ยน
ตอนนี้เรากำลังเลี้ยงลูกหลานที่อยู่ในเจนอัลฟ่า แล้วพ่อแม่ปัจจุบันอยู่ในเจน X และ เจน Y ปล่อยให้ Baby Boommers ที่เป็นปู่ย่า ตายายเป็นคนเลี้ยง ไม่รู้จักเทคโนโลยีแล้วมาเลี้ยงเจน Z บ้าง เจนอัลฟ่าบ้าง ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี โดยเฉพาะผู้ปกครองยุคใหม่บางกลุ่มก็ปล่อยให้เด็กอยู่กับแท็บเล็ตหรือคอมพิวเตอร์ทั้งวันโดยไม่มีการควบคุมอย่างเหมาะสม อาจจะส่งผลเสียทำให้เด็กมีสมาธิสั้นและปรับตัวเข้ากับสังคมไม่ได้
เด็กเจนอัลฟ่า ใน ‘สังคมกลางอากาศ’
ปัจจุบันสังคมมีความเป็นพลวัตสูงมาก มีสังคมใหม่เกิดขึ้นคือ สังคมกลางอากาศที่เป็นสังคมไร้พรมแดน เด็กสมัยนี้อยู่กับเทคโนโลยีมากกว่าบ้าน วัด โรงเรียน ไม่เหมือนเด็กสมัยก่อน เด็กเจนอัลฟ่าจึงมีปัญหาเรื่องปฏิสัมพันธ์ทั้งพ่อแม่และชุมชน มีปัญหาทักษะการสื่อสาร เพราะขาดการสื่อสารกันด้วยแววตา กายสัมผัส วลีสัมผัส การที่ขาดตรงนี้ทำให้เป็นเด็กไม่มีน้ำใจ ไม่รู้จักความเอื้ออาทร ที่สำคัญหากเด็กเจนอัลฟ่าไม่ได้รับการพัฒนาอะไรเลย เขาจะอยู่ส่วนตัวมากขึ้น ความผูกพันกับองค์กรและถิ่นฐานเดิมไม่มี ฉะนั้นเขาไม่จำเป็นต้องอยู่ประเทศไทยก็ได้ รากเหง้าวัฒนธรรมตัวเองอาจไม่รู้จักด้วยซ้ำไป ทักษะการสื่อสารก็ไม่มี กลายเป็นโลกแห่งดิจิตอลเทคโนโลยีหมด คุมไม่ได้ กระแสโซเชียลมีเดียหากรู้ไม่ทันก็โดนล่อลวง สภาพแบบนี้มันจะเกิดขึ้นอีกมากหากเราไม่รับมือ
แนวทางการเลี้ยงเด็กยุคใหม่ เจนอัลฟ่า
เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ทำให้สภาพของสังคมกลายเป็นสิ่งที่อยู่กลางอากาศหรือไร้พรมแดน ทั้งจากโซเชียลเน็ตเวิร์คและโซเชียลมีเดียที่อยู่ในมือ ส่งผลให้เด็กในยุคนี้ยึดติดกับตัวเอง ขาดปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ผู้ใหญ่ หรือ ผู้ปกครอง ควรใช้แนวคิดเลี้ยงลูกแบบบันไดสามขั้น คือ รับฟังความคิดความรู้สึกของเด็ก แล้วสะท้อนความรู้สึกของเราเอง ก่อนจะโยนโจทย์ปัญหาให้ลูกได้ลองคิด และแก้ไขจากมุมของตัวเด็กเอง
รวมไปถึงการเลือกรับสื่อกับเด็ก พ่อแม่ควรใช้สื่อให้สร้างสรรค์ ควรจะต้องมีการเหลาความคิดให้รู้เท่าทันสื่อ ภาพความรุนแรงในละคร สามารถนำมาเหลาทางความคิด โดยครอบครัวหรือโรงเรียน ให้คำแนะนำในเชิงสร้างสรรค์ โรงเรียน บ้านและชุมชม ควรต้องกลับมาพัฒนาศักยภาพของเด็ก และร่วมกันหาทางรับมือกับสิ่งใหม่ๆ รวมทั้งไม่ให้เด็กๆ กลายเป็นพวกวัตถุนิยม บริโภคนิยม โดยการติดอาวุธทางปัญญาให้กับเด็ก เพราะโลกในยุคปัจจุบันเป็นทั้งโลกแห่งความเป็นจริงและโลกเสมือน ท่ามกลางสังคมแบบนี้ทำให้เด็กจำเป็นต้องอยู่คู่กับโลกทั้งสองแบบ ดังนั้นพ่อแม่ ผู้ปกครอง ต้องสอนให้ลูกมีความรู้เท่าทัน
 1 พัฒนาทักษะการรู้คิด
ผู้ปกครองต้องมีการพัฒนาสมองในส่วนการรู้คิดให้กับลูกตั้งแต่เด็ก ฝึกให้ลูกคิดและวิเคราะห์เป็น เพราะบางครั้งการสอนแบบอบรมสั่งสอนอาจใช้ไม่ได้ผล ซึ่งการสอนให้เด็กคิดและวิเคราะห์นั้นเริ่มได้ง่ายๆ จากการชวนกันตั้งคำถาม ข้อสังเกต ให้เด็กรู้จักวิธีแก้ปัญหา การคิดอย่างมีวิจารณญาณไตร่ตรอง คือคิดว่าเรื่องที่ได้ฟัง ได้เห็น ได้รู้นั้นเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่ สมควรเชื่อถือไหมสามารถพิจารณาจากข้อมูลที่ได้รับทั้งหมดจากทุกด้านมารวบรวมแล้วตัดสินใจว่าสุดท้ายเป็นอย่างไร
2 ทักษะการรู้เท่าทัน
เมื่อเด็กที่คิดเป็นจะรู้เท่าทันในทุกเรื่อง และสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขและปลอดภัย รู้จักคิด ตัดสินใจ วางแผน และแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้อง รู้เท่าทันคน ตลอดจนสามารถจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังได้ โดยพ่อแม่อาจใช้วิธีการยกกรณีศึกษาต่างๆ มาสร้างเสริมระบบความรู้เท่าทันให้กับเด็กก็ได้
3 การสร้างจิตสำนึกที่ดี
เกิดขึ้นได้จากพ่อแม่เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก ทำดีให้เด็กดู ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตหรือการมีส่วนช่วยเหลือสังคม ปลูกฝังในสิ่งที่ดี ผู้ใหญ่ต้องใช้วิธีการสั่งสอนที่เกิดจากความรักและสัมพันธภาพที่ดี เมื่อหัวใจของเด็กเปิด สมองของเด็กก็จะเปิดตามไปด้วย เด็กก็จะค่อยๆ ซึมซับนำแบบอย่างที่ดีนั้นไปปฏิบัติจนเกิดเป็นจิตสำนึกที่ดี และกลายมาเป็นจิตอาสาร่วมกันพัฒนาสังคมให้เป็นสังคมที่ดีและมีคุณภาพได้ โดยทุกฝ่ายจะต้องมีส่วนช่วยกันไม่ว่าจะเป็นบ้าน ชุมชน และโรงเรียน
ที่สำคัญพ่อแม่ต้องรู้จักเปิดใจและเป็นผู้ฟังที่ดี ซึ่งจากการรับฟัง ผู้ปกครองสามารถสังเกต ทัศนคติ มุมมอง ความคิดของลูกได้ และใช้วิธีการพูดคุย แลกเปลี่ยน สั่งสอน ปลูกฝังสิ่งที่ดีต่างๆ ลงไป เพื่อเด็กจะได้เกิดวิธีคิดที่ดีและถูกต้อง รู้จักการเสียสละ รู้จักการแบ่งบัน เป็นครอบครัวแห่งประชาธิปไตยและนำไปสู่สังคมน่าอยู่ ตลอดจนชักชวนกันเป็นสังคมแห่งจิตอาสากันทั้งประเทศ ไม่ใช่สังคมแบบตัวใครตัวมันอย่างที่เห็นได้ในทุกวันนี้

(สังคม) เงินยูโร สกุลเงินของสมาชิกสหภาพยุโรป

 เงินยูโร สกุลเงินของสมาชิกสหภาพยุโรป
          เงินยูโร (ใช้สัญลักษณ์ว่า รหัสธนาคาร EUR) คือสกุลเงินของ 13 ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ประกอบด้วย: ออสเตรีย เบลเยียม ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี กรีซ ไอร์แลนด์ อิตาลี ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ โปรตุเกส สโลวีเนีย และ สเปน โดยรวมเรียกกันว่า ยูโรโซน (Eurozone – เขตยูโร) เงินยูโรเป็นผลมาจากความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจที่ได้รับการพัฒนาในยุโรปมาตั้งแต่ยุคสมัยโรมัน แม้กระนั้นเงินยูโรก็ยังสามารถพบเห็นได้ทั่วไปเหมือนกับเป็นการค้าขายสำหรับตลาดของยุโรป อำนวยความสะดวกในการค้าขายแลกเปลี่ยนอย่างอิสระภายในยูโรโซน โดยเงินสกุลนี้ยังได้รับการดูแลจากผู้ก่อตั้ง ให้เป็นส่วนสำคัญของโครงการของการการรวมอำนาจทางการเมืองของยุโรป
          เงินยูโรยังสามารถใช้ในการชำระหนี้ในอาณาเขตนอกอียูบางแห่ง ประเทศโมนาโก ประเทศซานมาริโน และนครรัฐวาติกัน ซึ่งเคยใช้ฟรังค์ฝรั่งเศส หรือลิซาอิตาลี เป็นสกุลเงินทางการ ตอนนี้ได้เปลี่ยนมาใช้สกุลยูโรแทน และได้รับสิทธิ์ในการผลิตเหรียญในสกุลยูโรในจำนวนเงินน้อย ๆ แม้ว่าประเทศเหล่านี้จะไม่ได้เป็นสมาชิกของอียู นอกจากนี้แล้วยังมี ประเทศอันดอร์รา และ รัฐมอนเตเนโกรและรัฐโคโซโว ในประเทศเซอร์เบียและมอนเตเนโกร ที่สามารถใช้เงินยูโรได้
ธนบัตรและเหรียญ
          ภาพบนธนบัตรจะเหมือนกันทั้งสองด้านในทุกประเทศ ส่วนเหรียญจะแตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศ ซึ่งสามารถใช้ร่วมกันได้
          ชนิดของธนบัตร 5, 10, 20, 50, 100, 200 และ 500 ยูโร 
เงินยูโร
          ชนิดของเหรียญ 1, 2, 5, 10, 20, 50 เซนต์ 1 ยูโร และ 2 ยูโร
เงินยูโร
ประเทศที่ใช้เงินยูโร 
   – ประเทศที่ใช้ยูโรเป็นสกุลเงินประจำชาติ
     ประเทศออสเตรีย 
     ประเทศเบลเยียม 
     ประเทศฟินแลนด์ 
     ประเทศฝรั่งเศส (ยกเว้นอาณานิคมในมหาสมุทรแปซิฟิก) 
     ประเทศเยอรมนี 
     ประเทศไอร์แลนด์ 
     ประเทศอิตาลี 
     ประเทศลักเซมเบิร์ก 
     ประเทศเนเธอร์แลนด์ 
     ประเทศโปรตุเกส 
     ประเทศสเปน 
     ประเทศกรีซ (เริ่มวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2544) 
     ประเทศสโลวีเนีย (เริ่มวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2550) 
     ประเทศไซปรัส (เริ่มวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551) 
     ประเทศมอลตา (เริ่มวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551) 
     ประเทศสโลวาเกีย (เริ่มวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2552)
   – ประเทศนอกสหภาพยุโรปที่ใช้ยูโร
     ประเทศโมนาโก 
     ประเทศซานมารีโน 
     นครรัฐวาติกัน 
     ประเทศอันดอร์รา 
     ประเทศมอนเตเนโกร 
     โคโซโว
     ประสบการณ์ นางฟ้าหมวดแดง


      มันนาน... นานจนจำแทบไม่ได้... ว่าสายการบินเอมิเรตส์มารับสมัครแอร์โฮสเตสสาวไทยครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่... แต่แล้วจู่ๆ ก็มีข่าวดี ว่าครั้งนี้รับจริง... และรับเยอะซะด้วย เว็บไซต์ thaicabincrew.com ไม่รอช้า... เราส่งนักเขียนของเราขึ้นเครื่องบินตรงไปดูไบ และได้พูดคุยกับแอร์โฮสเตสสาวสวยคนหนึ่งที่คงจะคุ้นหน้าคุ้นตา และคุ้นเคยแฟนๆ เว็บไซต์ thaicabincrew และแฟนเพจ Thaicabincrew Community กันอยู่บ้าง เพราะผมมักแอบดูดรูปสวยๆ จากหน้าเฟสของเธอมาอวดอยู่บ่อยๆ

นอกจากจะเป็นเรื่องราวของแอร์สาวเซเลบแล้ว เชื่อว่าผู้สมัครแอร์โฮสเตสสายการบินเอมิเรตส์รอบนี้ก็จะได้ข้อมูลดีๆ มีประโยชน์จากบทสัมภาษณ์นี้ด้วย เรามาทำความรู้จักกับคุณธนัณญา ศิยานนท์หรือระยิบกันเลย

…………………………………

รูปภาพ

ระยิบจบการศึกษาจากโรงเรียนบดินทร์เดชา 2 จากนั้นก็ไปคว้าประกาศนียบัตรชั้นยอดเยี่ยมด้านการจัดการโรงแรมจากโรงเรียนการโรงแรมชาลีน่า จากนั้นก็ใช้เวลาไม่ถึง 3 ปีจนได้ปริญญาตรีด้านสื่อสารมวลชน... เฮ้ยยยย... ไม่เห็นมีอะไรเกี่ยวกับอาชีพแอร์เลยนะระยิบ

... มันก็เกี่ยวอยู่นะพี่ ตอนเรียนอาจดูไม่เกี่ยว แต่จบมาหนูไปทำงานโรงแรมหลายแห่ง ทั้ง JW Mariiott ทั้งฮิลตัน ตรงนี้แหละที่หนูได้ประสบการณ์มาเพียบ โดยเฉพาะเรื่องภาษา... น้องยิบเธอว่ามาอย่างนั้น... 

อืมม... อย่างที่เคยบอก... งานโรงแรมนี่ถือเป็นงานเตรียมแอร์เลย... มีลูกเรือจำนวนมากที่ทำงานโรงแรมมาก่อนจะผันตัวเองมาทำอาชีพลูกเรือในวันนี้ แล้วก็มาจากหลายๆ แผนกซะด้วย ทั้ง waiter, waitress, butler เบลล์บอย และ concierge ใช่ว่ามาจากเฉพาะสาย reception หรือ Guest Relations อย่างเดียวซะเมื่อไหร่ 

…………………………………

รูปภาพ

อะโอเค... แล้วทำไมถึงมาเป็นแอร์ล่ะ

ตอนแรกไม่กล้าคิดจะมาเป็นแอร์เลยนะ เพราะเห็นคุณสมบัติแล้วคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ แล้วจริงๆ ยิบเป็นคนไม่เชื่อมั่นในตัวเองเลย ครอบครัวและเพื่อนสนิทจะทราบดี แต่คนมักคิดว่ายิบมั่นเกิน 100 ไม่ทราบเหมือนกันเพราะอะไร

รูปภาพ

แต่จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นจากคุณแม่และคนในครอบครัวค่ะ ทึ่เป็นแรงผลักดันให้ยิบไปสมัครสายการบินญี่ปุ่น (JAL) เป็นที่แรก ที่คุณแม่อยากให้ไปคงเห็นว่ายิบมีความสุขกับการทำงานโรงแรม เลิกงานกลับมาก็จะมาเล่าให้ที่บ้านฟังว่าวันนี้เกิดไรขึ้นบ้าง ได้ทำอะไรให้ลูกค้าที่โรงแรมบ้าง ...แบบไม่รู้ตัวเลยนะว่าชอบงานบริการตั้งแต่เมื่อไหร่...

แล้วคุณแม่เคยอยู่ญี่ปุ่นมาก่อน คุณแม่เล่าว่าสมัยก่อนคนที่จะเป็นแอร์ที่ญี่ปุ่นต้องเป็นลูกคุณหนูแบบโอโจ้ซัง (Ojousan) คือเวลาไปบินจะมีคนขับรถมาส่งที่สนามบิน ดูสูงศักดิ์ มากด้วยความสามารถ คุณแม่เลยยิ่งกระตุ้นเราใหญ่ เราก็แอบวาดฝันนะ

รูปภาพ

ยิบเลยเริ่มอยากสมัครแอร์ เพราะอยากให้คุณแม่และครอบครัวภูมิใจ แล้วก็อยากพิสูจน์ตัวเองด้วยว่าเราสอบได้ เพราะได้ยินมาว่าการสอบแอร์เป็นอะไรที่ยากมากๆ ตอนเริ่มสมัครก็อายุเกือบ 25 แล้ว เรียกว่าเฉียดฉิวมากๆ สำหรับเกณฑ์การสมัครของสายการบินในเอเชีย 

…………………………………

รูปภาพ

อยู่ JAL ก็ดีแล้วนี่ ออกมาอยู่เอมิเรตส์ทำไมล่ะ... 

(JAL ก็ถือเป็นโรงเรียนเตรียมแอร์นะ ผลิตแอร์ดีๆ ไปอยู่สายการบินอื่นๆ กันเพียบ) ในยุคหนึ่ง แอร์การบินไทยมาจากสายการบิน JAL เกือบทั้งห้อง

เอาจริงๆ เลยนะ ยิบหาข้อมูลแล้วพบว่า สายการบินทางตะวันออกกลางรายได้สูง มีรูทบินทั่วโลก ที่สำคัญคือสอบเข้ายากที่สุด (ยูนิฟอร์มพร้อมหมวกแดงที่เป็นเอกลักษณ์ดูสวยงามด้วย) เลยอยากท้าทายความสามารถของตัวเอง ถ้าเปรียบเทียบก็คงเหมือนการสอบเอนทรานซ์ การสอบเข้าคณะยากๆ มหาวิทยาลัยท้อปๆ ประมาณนั้น

…………………………………

ในที่สุดก็ได้เป็นแอร์ที่เอมิเรสต์ ความรู้สึกเป็นไงบ้าง

สนุกค่ะ แฮปปี้มากๆ อยากตื่นไปทำงานทุกวันเลย แม้บางไฟลท์จะต้องตื่นตั้งแต่ตีหนึ่ง แต่ก็บ่นๆ ไปงั้น ยังไงก็ต้องตื่นไปบินเพราะมันคืออาชีพ จบไฟลท์แล้วก็จบกันค่ะ

…………………………………

รูปภาพ

สภาพการทำงานล่ะ ชอบอะไรที่นี่? มันต้องมีอะไรดีๆ แน่ๆ

ว้าว... อยากจะบอกว่าที่นี่มันอินเตอร์มากๆ เลย เพราะต้องสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ทุกคนมีสิทธิ์มีเสียง มีส่วนร่วมในการทำงานและแสดงความคิดเห็น ให้ feedback กับรูปแบบการบริการใหม่ๆ หรือข้อเสนอแนะอะไรที่เราเห็นว่ามันน่าจะดีกับผู้โดยสาร เค้าจะมีแผนกคอยรับ feedback จากเราค่ะ ที่ชอบอาจเป็นเพราะเคยทำงานกับสายการบินเอเชียมาก่อนเลยไม่เคยได้รับประสบการณ์แบบนี้ เพราะสายการบินทางเอเชียค่อนข้างจะเป็นระบบ seniority หัวหน้าสั่งไงก็ต้องทำตามนั้น ซึ่งก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียค่ะ 

และการโปรโมทเลื่อนตำแหน่งที่เอมิเรตส์ก็ดูที่ความสามารถของเราล้วนๆ ถ้าทำดีสอบได้ก็ได้เลื่อนขั้นตามความสามารถตัวเอง ถ้าถึงเวลาที่เราสมัครในตำแหน่งที่สูงต่อไปได้ เราก็ต้องไปสอบคัดเลือก ผ่านการเทรนและ probation ประมาน 4-5 เดือนค่ะ

รูปภาพ

พูดถึงการ training หรือ workshops ที่นี่ก็ให้โอกาสดีมากๆ เช่นกัน นอกเหนือจากการบินแล้ว เอมิเรตส์ยังเปิดให้เราได้เป็น Part time เทรนเนอร์ในส่วนของ Service, safety, security and first aid สำหรับลูกเรือที่เพิ่งรับเข้ามา หรือกำลังจะเลื่อนขั้น promote to Business class, first class. Senior flight and flight Purser อีกด้วย

…………………………………

รูปภาพ

ทำงานกับเพื่อนร่วมงานต่างชาติเป็นยังไงบ้าง

ที่นี่ไม่ได้มีแค่ชาติเดียวหรือสองชาตินะคะ แต่มีถึง 80 เชื้อชาติ 120 ภาษา!! คงนึกออกใช่มั้ยคะ ว่ามันน่าสนุกขนาดไหน

ช่วงแรกๆ ก็ต้องปรับตัวเยอะ บางทีก็มี culture shock แบบอึ้งๆ กันไปเลย เช่น ลักษณะการพูดช้าเร็วหรือ accents , ทัศนคติ positive/negative ในเรื่องต่างๆ แต่ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีนะ ได้เรียนรู้อะไรเยอะอย่างที่เราไม่มีวันได้จากการเรียนในมหาวิทยาลัยไหนๆ

รูปภาพ

และนับเป็นโชคดีนะคะที่ส่วนมากคนต่างชาติรักคนไทย รักประเทศไทย เค้าเลยค่อนข้างมีทัศนคติที่ดีกับเรา พยายามเข้าใจเรา อีกอย่างที่ต้องบอกเลยว่าคนไทยทำงานเก่งมาก ทำงานเป๊ะมาก ขยันขันแข็งแถมใจดีและมีน้ำใจกับเพื่อนร่วมงานและผู้โดยสาร ลูกเรือไทยที่นี่เลยขึ้นชื่อว่าทำงานดีเยี่ยม ได้รับการไว้วางใจในไฟลท์ และเป็นที่ยอมรับของคนต่างชาติค่ะ 

…………………………………

รูปภาพ

มีอะไรประทับใจบ้าง?

โห... เล่าเจ็ดวันก็ไม่จบค่ะ เพราะทุกๆ วันคือความประทับใจ การเป็นแอร์คือเรื่องมหัศจรรย์ เราไม่รู้หรอกว่าเราจะเจออะไรบ้าง ทั้งๆ ที่บางครั้งมันก็เป็นไฟลท์ที่เราเคยบินบ่อยๆ แต่ความรู้สึกมันไม่เหมือนเดิม ผู้โดยสายไม่เหมือนเดิม เพื่อนลูกเรือที่ทำงานด้วยก็ไม่ใช่กลุ่มเดิม

เพราะฉะนั้น ยิบจึงเจอสิ่งใหม่ๆ ที่ท้าทายความสามารถเราตลอดเวลา ไม่ใช่แค่การบริการ แต่ยังมีเรื่องความปลอดภัยบนเครื่อง การปฐมพยาบาลในกรณีผู้โดยสารป่วย หรือเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ เช่น การทำคลอด การดับไฟ ฯลฯ 

รูปภาพ

หลังจากจบไฟลท์ การไปเที่ยวในประเทศต่างๆ ถือเป็นความประทับใจอีกอย่างหนึ่งค่ะ เพราะเป็นผลพลอยได้ของอาชีพนี้ จะว่าไปเที่ยวฟรีๆ ก็ไม่ใช่เพราะต้องทำงานไป ได้ใช้ทักษะการเอาตัวรอดอย่างสูงเวลาไปเยือนประเทศต่างๆ แต่คนเป็นแอร์ส่วนมากสบายหายห่วงค่ะเรื่องนี้ 

…………………………………

เรื่องผลตอบแทน สวัสดิการเป็นยังไงบ้าง?

รายได้เป็นแสนอันนี้คงทราบกันดีอยู่แล้ว อาจเป็นเพราะเบสดูไบ ชั่วโมงบินเยอะรูทบินเยอะ ตารางบินแน่นมาก สวัสดิการก็ดีมากค่ะ เช่น ซื้อตั๋วในราคาพิเศษให้ตัวเอง ครอบครัวและเพื่อน มีตั๋วฟรีปีละครั้ง ทำงานครบสามปีได้ตั๋วฟรีหนึ่งครั้งไปไหนก็ได้ในโลกนี้ โบนัสมีให้บางปี ที่พักบริษัทจัดหาให้และจ่ายให้ทุกอย่าง อยู่แยกชายหญิง ถ้าเพิ่งมา ก็อยู่กับแฟลตเมท 2 ห้องนอนบ้าง 3 ห้องนอนบ้าง เมื่อทำงานนานขึ้นเป็นซีเนียร์แล้วก็ให้อยู่คนเดียว ยูนิฟอร์มก็ซักฟรี มีรถบัสรับส่งไปบิน ฯลฯ

…………………………………

รูปภาพ

มีปัญหากับการใช้ชีวิตต่างแดนบ้างรึเปล่า

อยู่ต่างประเทศก็ดีตรงได้ช่วยเหลือตัวเอง ต้องดูแลตัวเอง มันจะทำให้เรามีความรับผิดชอบและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่ก็แล้วแต่ว่าเราจะเลือกมองแบบไหน เอาจริงๆ ยิบก็ไม่ได้รู้สึกว่าอยู่ประจำที่ดูไบหรอกนะ เพราะก็ต้องบินไปค้างที่อื่นอยู่บ่อยๆ ถ้าจะว่าเรื่องอาหารการกิน ทุกประเทศก็มีร้านอาหารไทย ผู้คนที่ดูไบส่วนมากรู้จักคนไทยและมองประเทศไทยในแง่ดี เค้าก็จะดีกับเรา หมดห่วง ส่วนข้อเสียก็อาจมีบ้างที่เหงาๆ เพ้อๆ คิดถึงบ้าน แต่สมัยนี้การสื่อสารเป็นเรื่องง่าย อินเตอร์เน็ตก็มี หรือถ้าจะกลับบ้านก็มีตั๋วถูกกลับได้ตลอด

…………………………………

รูปภาพ

มาพูดถึงขั้นตอนการสมัครกันบ้าง

หลายขั้นตอนค่ะ ตั้งแต่กรอกใบสมัครออนไลน์ ขายตัวเองผ่านประวัติการทำงานและรูปถ่ายที่ต้องสวยที่สุดเพื่อให้เตะตากรรมการ, รอเรียกไปพรีสกรีน ก็ต้องแต่งตัวแต่งหน้าทำผมให้เริ่ดที่สุด, รอเรียกไปทดสอบต่างๆ การทำ Group discussion, essay writing, grammar test, รอบไฟนอล interview one on one, รอบตรวจร่างกาย!!!

คิดว่าตัวเองมีจุดเด่นอะไรที่ทำให้กรรมการเลือก?

น่าจะเป็นความจริงใจในการตอบคำถามจากประสบการณ์การทำงานในอดีต การให้เกียรติเพื่อนๆ ที่มาสมัครด้วยกันในวันนั้น เช่นตั้งใจฟังเวลาเพื่อนๆ พูด ช่วยเพื่อนๆ ในกลุ่มเวลาทำ group discussion เพราะส่วนมากคนที่มาสมัครมักหวังจะได้งานจนลืมนึกถึงคนอื่น ทั้งที่จริงๆ แล้วงานที่เราสมัครเป็นงานที่เราต้องทำเพื่อคนอื่นเป็นอันดับแรก และแน่นอนว่า grooming และรอยยิ้มก็เป็นส่วนสำคัญที่จะสร้าง first impression ให้เกิดขึ้นในวันนั้นด้วย

…………………………………

รูปภาพ

ประสบการณ์การบินที่ประทับใจ?

มีอยู่ไฟลท์นึง เป็นไฟล์ทยุโรปกลางคืน หลังจากปิดไฟเพื่อให้ผู้โดยสารพักผ่อน ก็มีลูกเรือรุ่นน้องเรียกยิบให้ไปดูผู้โดยสารหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเป็นลมล้มนอนบนพื้นหน้าห้องน้ำ ลูกเรือบอกยิบว่า ผู้โดยสารไม่หายใจแล้ว ยิบก็เตรียมทำ CPR (การปั้มหัวใจ) แต่หลังจากเช็คอีกครั้งก็พบว่ายังหายใจอยู่ ยิบก็เริ่มปฐมพยาบาลตามที่เทรนมา ปรากฏว่าผู้โดยสารอาเจียนเยอะมาก ทุกคนทนกลิ่นไม่ได้ แต่เราก็ยังช่วยเหลือเค้าต่อไป เราก็พอทราบว่านี่ไม่ใช่เคสธรรมดา สมองคงได้รับการกระทบกระเทือน และผู้โดยสารคนนี้เดินทางกับลูกสาววัย 12 ขวบ นอกจากจะต้องดูแลคนป่วยแล้ว เรายังต้องดิวและ calm down ลูกสาวอีกด้วย 

รูปภาพ

อีกครึ่งชั่วโมงก่อนเครื่องลงที่ดูไบ หมอที่เราติดต่อทางโทรศัพท์จากบนเครื่องให้เราใช้ยาตัวหนึ่งซึ่งทำให้หลับ เราก็ได้พูดคุยกับลูกสาวจนได้เบอร์โทรศัพท์ญาติที่ยุโรป เมื่อเครื่องลงเรียบร้อย หมอและทีมพยาบาลภาคพื้นดินก็มารับ ตอนนั้นผู้โดยสารยังไม่รู้สึกตัวเต็มที่ ยิบเลยตัดสินใจโทรศัพท์ไปหาญาติตามเบอร์ที่ลูกสาวให้ไว้ และเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมแจ้งเบอร์ยิบให้โทรมาได้ตลอดเวลาหากมีเรื่องให้ช่วยประสานที่ดูไบ 

สองวันต่อมา ยิบได้รับโทรศัพท์จากญาติแจ้งว่าผู้ป่วยปลอดภัยแล้ว และอยากนัดเจอยิบเพื่อขอบคุณที่ช่วยเหลือ แต่พอดียิบติดบินเลยไม่ได้เจอกัน หลังจากนั้นก็ได้รับจดหมายขอบคุณและประกาศนียบัตรจากบริษัท ก็ถือเป็นไฟลท์ที่ประทับใจ ไม่ใช่คำขอบคุณหรือ certificate อะไรนั่นหรอกนะ แต่เป็นเพราะรู้สึกว่ายิบได้ทำอะไรนอกเหนือจากหน้าที่ปกติ รู้สึกตัวเองมีค่าที่มีส่วนในการช่วยชีวิตคนๆ หนึ่งไว้

…………………………………

รูปภาพ

ไลฟ์สไตล์เป็นคนยังไง?

เป็นคนมีโลกส่วนตัวสูงค่ะ หลังจากที่ต้องเจอคนเป็นร้อยมาแล้วจะชอบอยู่บ้าน เป็นคนร่าเริงแจ่มใส ออกแนวตลกฮาๆ ท่องเที่ยวบ้างกับครอบครัวและเพื่อนๆ ในที่ๆ สบายๆ ชิวๆ ถ้าไม่ไปออกกำลังกายก็จะทำกับข้าว (ในแบบที่ตัวเองอยากทานนะคะ คนอื่นทานได้รึเปล่าไม่รู้) ชอบเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ตลอดเวลาไม่จำกัดหัวข้อ อย่างเช่นตอนนี้กำลังศึกษาเรื่องการแต่งหน้า เสริมความงามแบบจริงจัง ถึงกับลงคอร์สเลยทีเดียว กำลังเรียนทำคิ้วสามมิติ แล้วก็เป็นคนมองโลกในแง่ดีค่ะ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะคิดลบ

…………………………………

รูปภาพ

ยามว่างล่ะ

เข้ายิมค่ะ เห่อการออกกำลังกายมากช่วงสองปีที่ผ่านมา พวก body pump, body combat and RPM พวก Extreme sports แล้วมันก็ช่วยเรามากในเรื่องสุขภาพกายและใจ เพราะเราบินเยอะนอนน้อย กินนอนไม่เป็นเวลา ส่วนหนังสืออ่านทุกแนวค่ะ แต่จะชอบอ่านพวก How to ไรแบบนี้ หนังสือที่ให้ข้อคิดในชีวิต หรือว่าเส้นทางของคนดังๆ ที่ประสบความสำเร็จ แล้วก็ทำกับข้าวในแบบฉบับของตัวเอง อ้อ ชอบถ่ายรูปด้วย ของที่เพิ่งเริ่มสะสมตอนนี้คือถ้วยกาแฟจากประเทศที่เราไปมาค่ะ

…………………………………

วางแผนอนาคตไว้ยังไงบ้าง

ทำวันนี้ให้ดีที่สุด อย่างเป็นแอร์นี่ก็ไม่ได้อยู่ในแผน แต่ก็จะไม่ประมาทค่ะ ตอนนี้ชีวิตมีความสุขดีโดยเฉพาะงานที่ทำอยู่ก็จะทำต่อไปจนกว่าจะถึงสูงสุดของตำแหน่งงานค่ะ

…………………………………

มีอะไรบอกน้องๆ ในเว็บบ้าง

การเป็นแอร์เป็นเรื่องมหัศจรรย์ค่ะ มีอะไรหลายอย่างในอาชีพนี้ที่คนไม่ได้มาเป็นไม่มีทางรู้ เป็นแอร์เป็นงานที่มีเกียรติและเป็นงานที่ต้องใช้ความสามารถ หากผ่านงานนี้ไปได้ ทำงานที่ไหนก็ได้ค่ะ ถ้าอยากเป็นแอร์จริงๆ ระยิบเชื่อถ้าตั้งใจก็ต้องทำได้ ดูจากประสบการณ์ของตัวเอง การเตรียมตัวเป็นเรื่องสำคัญ หาข้อมูลของสายการบินให้ดีๆ แล้วเราก็จะทราบว่าเราพร้อมที่จะทำงานกับสายการบินนั้นๆ ได้หรือเปล่า บางคนไม่ชอบอยู่ไกลบ้าน บางคนเป็นคนปรับตัวเข้ากับคนอื่นยาก มันก็น่าคิด ยิบขอให้ทุกคนโชคดีนะคะ

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

การทำงานของเราครั้งแรก


    วันนี้เราจะขอจดบันทึก ประสบการณ์ ความรู้สึก กับการออกไปทำงาน ข้างนอก เป็นครั้งแรก งานแรกของเราเลย 
     
     
    เราไม่เคยออกไปทำงานข้างนอกเลย อยู่แต่บ้าน เรียนหนังสือ ว่างๆปิดเทอมก็เที่ยว แต่ช่วงปิดเทอม ของม.5 เทอม2 เพื่อนชวนเราไปทำงานด้วย บอกกับเราว่างานสบาย ไม่ร้อน ทำกับป้าของเพื่อน เราถามว่างานอะไร ทำอะไรบ้าง เพื่อนเรา บอกเป็นงานเกี่ยวกับอีเว้น เดินถือป้าย เดือนขบวน อยู่หน้าบูธ สบายๆ ได้วันละ500บาท ทำที่เซนทรัลลาดพร้าว 3วัน เราก็กลับมาคิดๆ น่าสนใจดี ว่างๆปิดเทอม ได้วันละตั้ง500บาท เราก็เลยตกลงกับเพื่อนไป   


    พอมาถึงวันที่จะทำงาน เพื่อนเราก็มารับเรา ไปนอนบ้านป้าที่ชวนเรามาทำงาน ไปถึงบ้านไม่มีคนอยู่เลย อยู่กับเพื่อนสองคน เพราะเค้าไปทำงานยังไม่กลับกัน ข้ามมาตอนเช้าตอนที่จะไปทำงานเลย เช้าวันแรก(ออกประมาณตี5 เช้ามากๆๆ) ก็นั่งรถตู้ไปกับป้าเค้า พร้อมข้าวของ เตรียมจัดงาน สักพักป้าเค้าก็ยื่นปึ้งกระดาษหนาๆมาให้คนละปึ้ง ละบอกว่าเดี๋ยวไปแจกหน้าประตูนะ คนละประตู เราก็หันไปมองหน้าเพื่อน ว่าคืออัลไร ไหนว่าถือป้ายเดินขบวน สบายๆ สรุปแจกใบปลิว!!! มาถึงขั้นนี้ละ ก็ต้องทำ แยกกันคนละประตู ไม่เคยทำมาก่อน เคยแต่เป็นผู้ถูกแจก วันนี้ต้องมายืนแจกเอง ก็ยืนแจกไปเรื่อยๆ


นี่เป็นป้ายที่เพื่อนส่งมาให้ดู ว่าเดินถือแบบนี้



แต่ความจริงเป็นแบบนี้


เสื้อสีแดงที่ใส่ เป็นเสื้อของบริษัท ที่ป้าเค้าทำอยู่ ที่เสื้อเขียนว่า"Thailand smart monny"
     
       ได้ใบปลิวมาคนละปรึก แจกเท่าไหร่ก็ไม่หมดสักที ไม่ยุบสักที จะเที่ยงละ ยังไม่ถึงครึ่ง เรากับเพื่อนเริ่มท้อ เมื่อย เลยไปพักกินข้าว ป้าเค้าก็ใจดีให้เงินกินข้าวตางหากอีก กินเส็จก็มาแจกต่อ แจกไปสักพัก เมื่อยมากๆๆ ปวดแขน ปวดตัว ยืนจะทั้งวันอยู่ละ พึ่งจะถึงครึ่ง ตอนนั้นเลยคิดแผนร้ายๆ ขี้โกง เราแอบเอาใบปลิวที่เราไปแจก ไปทิ้งถังขยะ เกือบครึ่งของที่เหลือ ไม่มีใครรู้หรอกว่าเราทำอะไรลงไป แต่ใจเรารู้ดี ตอนนั้นคิดแค่ว่า แจกคงไม่หมดแน่ เลยตัดสินใจทิ้งไป เหลืออีกนิดแจกต่อๆ


                             ไม่รับค่ะ--'
                             เย้...รับแล้ว


นี่เพื่อนเรา

 ไม่รับค่ะ



 
                          พอหมดก็ยิ้มได้^^


สรุปวันนี้ได้คนละไม่ถึงปรึก เพราะแอบทิ้งไป ก็รอจนงานเลิก กลับบ้านประมาณเที่ยงคืนกว่า





เช้าวันที่2 เริ่มขี้เกียจตื่นไปทำงาน แต่ก็ต้องตื่นแต่เช้ามืดเหมือนเดิม เราก็ตื่นอย่างรวดเร็ว รีบแต่งตัว เรียกเพื่อนต่อ เรียกก็ไม่นอมตื่นหลับ หลับ กว่าจะตื่นได้
    เพื่อนเร่ก็ไปหลับในรถต่อ จนถึงที่เซลทรัล เรียกเพื่อนก็ไม่ยอมตื่น หลับอยู่อย่างนั้น ป้าเค้าเลยขึ้นไปจัดของก่อน บอกให้เราเรียกเพื่อนด้วย ตอนนั้นเริ่มโมโหเพื่อนละ เรียกก็ไม่ตื่น สายมากแล้วด้วย ตอนนั้นจะร้องไห้เลย โมโหเพื่อน โทรไปหาที่บ้านบอกที่บ้านว่าเหนื่อย เพื่อนเป็นแบบนี้ คำแรกที่ลุงพูด "เป็นไง เหนื่อยมั้ย ตื่นยัง" โอ้โหหห น้ำแตกเลย แต่ต้องเก็บน้ำตาไว้ ที่ลุงถามว่าตื่นยัง คงเป็นเพราะตอนอยู่บ้าน เราตื่นสาย เวลาที่เราโทรไปนี้ เรายังนอนอยู่เลย ทำให้คิดอะไรหลายๆอย่างเลย คุยได้สักพักก็วาง ไปเรียกเพื่อนต่อ มันก็ตื่น ตอนนี้นไม่อยากจะพูดกับมันเลย  แต่ก็ทำไม่ได้

               มาเตรียมตัว ก่อนขึ้นไปทำงาน
                  


             

วันที่2นี้ ก็แจกคล่องมากขึ้น ไม่ทรมาณเหมือนวันแรก วันนี้เราแจกกันได้คนละตั้ง2ปรึกแหนะ ไม่ได้ทิ้งด้วย
   แจกเส็จก็รอเวลากลับบ้านเหมือนเดิม ดึกเหมือนเดิม เพลีย หลับสนิท และตื่นมาทำวันที่3ต่อไป




       วันที่3 เราแจกคล่องมาก แจกชิวๆเลย คงเป็นเพราะเริ่มชินแล้ว แจกเรื่อยๆจนหมด ได้เจอพี่ๆ ที่เค้ามาแจกใบปลิว เหมือนกัน หลายคนเลย ได้เพื่อนคุยด้วย   วันได้แจกไปเกือบคนละ3ปรึก พอแจกเส็จ เราก็ไปเดินเล่นกัน ไปเจอบูธหนึ่ง เจอพี่ อ้น ดาราช่อง3 มาแจกของ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม เค้ามีถ่ายรูปให้ฟรี เลยร่วมสักหน่อย

                    ได้รูปมาเลย นี่เรา
                    
           
                       นี่เพื่อนเรา
                   

                       
                       
                      ได้ของแจกมาด้วย
                 

                 

 
         
     นี่เป็นการจับเงิน จากน้ำพักน้ำแรงของเราเอง รู้สึกมันมีค่ามากกว่า1500บาท รู้สึกไม่อยากใช้มันเลย เรากับเพื่อนคนละ1500
                    
         

                 
         รูปที่ได้ต่อมานี้ เกิดจากการส่งไปอวดเพื่อนในกลุ่มของเรา5555555 (ดูจากหน้าเอา ก็รู้ว่า ไม่อวดเลยยยยยยยย)






   สุดท้ายนี้ มันเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับเรา มันมีค่ากว่าเงิน1500 สะอีก เราได้ฝึกอะไรหลายอย่าง จากที่ไม่เคยต้องมาทน มาทำอะไรแบบนี้เลย เคยแต่นอนอยู่บ้าน ตื่นสายๆ สบายๆ มีเงินใช้  ได้ฝึกความอดทนของเรา ทำให้ได้คิดถึงตอนที่เราไม่เคยมาทำงานนี้ มองย้อนไปเวลาที่เราไปเดินห้าง เราก็โดนแจกใบปลิว แบบที่เรามาทำ ตอนนั้นเราไม่เคยรับเลย ไม่รู้จะรับทำไม เดี๋ยวก็ทิ้งอยู่ดี แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว แค่ช่วยรับไปทิ้งก็ยังดี ใจคนแจก ก็อยากจะให้มันหมดไวๆ อยากพัก อยากกลับบ้าน
     ทุกวันนี้ เจอใครแจกใบปลิวอะไร รับหมดเลย พอเจอ เราจะสกิด ให้เพื่อนรับทันที พร้อมกับมองหน้ากันโดยอัตโนมัตเลย 55555555









วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

สวัดดีค่ะ เพื่อนๆชาว blogger. นี่เป็นblog ใหม่ของเรา เราเลยขอเริ่ม ด้วยเรื่องของเรา^^
 


   เราอยากมาแชร์บรรยากาศ ที่เราได้ไปเที่ยวกับเพื่อนๆมา ถือว่าเป็น diary สำหรับหน้านี้  เป็นช่วงปิดเทอมพอนี้ เรากับเพื่อนๆตกลงไปหัวหินกัน 2วัน 1คืน
ในวันที่19 มีนาคม ออกเดินทาง(ตี5.30)
เห็นมั้ยยังมืดอยู่เลย







เผลอหลับไปแปบเดียว แดดส่องแล้ว





นั่งสามล้อต่อ เข้ามาที่พัก








ประมาณ 8โมงเช้า เราก็ถึงที่พักกันแล้ว
 เหมือนคอนโดเลย

 ที่เห็นนี้ข้าวของ แค่2คนนะ



มีสระน้ำ







ตกลงเรื่องรถ ที่จะไปเช่า





พอได้รถ เราก็ขับกันมาที่หาดสวนสนก่อนเลย






เดินเล่นได้สักพัก หิวข้าว แวะกินข้าวกัน





ตกเย็น แต่งตัวสวยๆ พร้อมออกค่ะ







ตกดึก กลับถึงที่พัก มีเซอร์ไพร์วันเกิดเพื่อนนิดหน่อย




เราไปกันวันที่19 มีนาคม คืนวันนั้นเลยแอบเซอร์ไพร์เพื่อนเบล กัน
แต่แผนซ้อนแผน เรากลับโดนเซอร์ไพร์เองด้วย เราเกิดวันที่21 มีนาคม เพื่อนเลยรวบเลยยย55555(เกือบทำแผนเสียเลยเรา)



ซ้ายเบล ขวาเรา








ผ่านข้ามคืนไปอย่างมีความสุข เช้าวันต่อมาพวกเรารีบตื่นแต่เช้า เพื่อนไปเดินเล่นหาดสวนสน ยามเช้าอีกครั้ง




 โดด โดด โดด




ต่อด้วยเพลินวาน




 สุดท้าย ท้ายสุด ก็กลับบ้านกัน สภาพแต่ละคน^^



คล่าวๆ diaryน้อยๆ นี่เป็นครั้งแรก ของการไปต่างจังหวัด พร้อมหน้าพร้อมตากัน7คน มีความสุขมากๆๆๆ แค่นี้ก็เป็นของขวัญวันเกิดที่ดีที่สุดแล้วววว 

เป็นblogแรกด้วย ที่พิมพ์เอง ทำเอง ใส่รูป ใช้เวลาพอสมควรเลย ได้เท่านี้น้าาาา